วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

(แก้) ทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ (งานที่ 4)


1.   ทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ
    ทักษะเป็นความชำนาญหรือเชี่ยวชาญที่เกิดจากการหมั่นฝึกฝนสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างคล่องแคล่ว และเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ซึ่งทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพทุกอาชีพ มีดังนี้
 ทักษะกระบวนการทำงาน
  ทักษะกระบวนการทำงาน หมายถึง การลงมือทำงานต่างๆ ด้วยตนเอง โดยมุ่งเน้นการฝึกฝนวิธีการทำงานกลุ่มร่วมกับผู้อื่น  เพื่อให้ทำงานได้สำเร็จ และบรรลุจามเป้าหมาย โดยมีขั้นตอนต่างๆดังนี้
  (1) การวิเคราะห์งาน  เป็นการมองภาพรวมของงานเมื่อได้รับมอบหมาย ว่าเป้าหมายของงานคืออะไร ผลลัพธ์ของงานที่จำคืออะไร และจะทำอย่างไรเพื่อให้งานนั้นบรรลุเป้าหมายและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
(2) การวางแผนในการทำงาน เป็นการกำหนดเป้าหมายของงาน ระยะเวลาดำเนินงานกำลังคนที่ใช้ในการทำงาน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน วัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานและวิธีดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และได้ผลลัพธ์ตามต้องการ โดยประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกัน
(3) การลงมือทำงาน  เป็นการลงมือทำงานตามแผนที่วางไว้ ด้วยความมุ่งมั่นอดทนและรับผิดชอบต่องานที่ได้รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ ซึ่งหากพบปัญหาหรืออุปสรรคก็ควรคิดว่าเป็นสิ่งท้าทายที่เราควรแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ และถือว่าการที่สามารถแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคนี้ได้ เป็นประสบการณ์อันมีค่า และจะมีประโยชน์ต่อตนเองในอนาคต
(4) การประเมินผลการทำงาน เป็นการตรวจสอบ ทดสอบหรือทดลองใช้ตั้งแต่การวางแผนการทำงานว่ารอบคอบ รัดกุม ครอบคลุม และสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่ รวมถึงประเมินผลการทำงานว่าเกิดอุปสรรคหรือปัญหาใดหรือไม่และจะแก้ไขอย่างไร ตลอดจนประเมินผลงานที่ทำสำเร็จ แล้วว่ามีคุณภาพตามเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่ ใช้เวลา ค่าใช้จ่าย และแรงงานเหมาะสมหรือไม่อย่างไร เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงแก้ไขแผนงาน การทำงาน และผลงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

2.ถ้านักเรียนทำงานที่ชอบ เช่นเป็นช่างซ่อมรถจักรยานยนต์นักเรียนจะวางแผนการทำงานอย่างไร       ปัญหา รถจักรยานยนต์ ยางเสื่อมสภาพ

- ใช้ทักษะการทำงาน ได้แก่
  (1) การวิเคราะห์งาน  เป็นการมองภาพรวมของงานเมื่อได้รับมอบหมาย ว่าเป้าหมายของงานคืออะไร ผลลัพธ์ของงานที่จำคืออะไร และจะทำอย่างไรเพื่อให้งานนั้นบรรลุเป้าหมายและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ คือ การซ่อมจักรยานยนต์อย่างไรให้สามารถกลับมาใช้งานได้ดีขึ้น เพื่อให้รถจักรยานยนต์ สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ สาเหตุเกิดจาก ยางเสื่อมสภาพ
(2) การวางแผนในการทำงาน เป็นการกำหนดเป้าหมายของงาน ระยะเวลาดำเนินงานกำลังคนที่ใช้ในการทำงาน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน วัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานและวิธีดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และได้ผลลัพธ์ตามต้องการ โดยประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกัน คือ การซื้อยางการศึกษาราคาของอะไหล่ อะไหล่เดิมเป็นอย่างไร เพื่อซื้ออะไหล่ใหม่ให้มีรูปแบบเดิม เตรียมอุปกรณ์ในการเปลี่ยนอะไหล่ ได้แก่ สะกรูไล ไขควง เหล็กงัดยาง
(3) การลงมือทำงาน  เป็นการลงมือทำงานตามแผนที่วางไว้ ด้วยความมุ่งมั่นอดทนและรับผิดชอบต่องานที่ได้รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ ซึ่งหากพบปัญหาหรืออุปสรรคก็ควรคิดว่าเป็นสิ่งท้าทายที่เราควรแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ และถือว่าการที่สามารถแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคนี้ได้ เป็นประสบการณ์อันมีค่า และจะมีประโยชน์ต่อตนเองในอนาคต คือ การลงมือเปลี่ยนยางรถ โดยมีขั้นตอนต่อไปนี้
1. นำสะกรูไลไขน๊อต ที่ยึดล้อรถ ให้ถอดออก ให้เหลือแต่ล้อ เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนยาง
2. ปล่อยลมแล้วนำเหล็กงัดยางสองอันเสียบเข้าไป เว้นระยะห่างระหว่าง ระหว่างขอบกับยาง โดนนำด้านที่งอคว่ำลง
3. ผลักเหล็กงัดยาง ให้ออกไปจากตัว โดยผลักพร้อมๆกันทั้งสองข้าง ทำแบบนี้จนรอบยาง
4.เมื่อยางออกจากขอบล้อแล้ว หมุนน๊อตที่จุ๊บเติมลมด้วยสะกรูไล หลังจากนั้นดันที่จุ๊บเติมลมให้หลุดไปในขอบ
5. นำจุ๊บเติมลมที่อยู่ในขอบยางออกมาข้างๆ แล้วดึงยางในออกมา
6.นำยางนอกออกจากวงล้อ แล้วทำความสะอาดข้างใน   คลี่ยางในออกแล้วหมุนฝาจุ๊บเติมลม และหมุนน๊อตออกด้วย  นำยางในใส่เข้าไปในยางนอก โดยที่ให้จุ๊บเติมลมโผล่ออกมาจากขอบล้อ
7.นำเหล็กงัดยางสอบเข้าไประหว่างขอบกับล้อแล้วงัดขึ้นทางด้านบน  พร้อมจัดจุ๊บเติมลมให้ตรงกับช่องขอบล้อที่มีให้
8. จากนั้นไขน๊อตที่ถอดจากจุ๊บเติมลมเข้าไว้ที่เดิม จากนั้นเติมลมยาง ปิดฝาจุ๊บเติมลม
9. นำล้อประกอบเข้ากับรถจักรยานยนต์
(4) การประเมินผลการทำงาน เป็นการตรวจสอบ ทดสอบหรือทดลองใช้ตั้งแต่การวางแผนการทำงานว่ารอบคอบ รัดกุม ครอบคลุม และสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่ รวมถึงประเมินผลการทำงานว่าเกิดอุปสรรคหรือปัญหาใดหรือไม่และจะแก้ไขอย่างไร ตลอดจนประเมินผลงานที่ทำสำเร็จ แล้วว่ามีคุณภาพตามเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่ ใช้เวลา ค่าใช้จ่าย และแรงงานเหมาะสมหรือไม่อย่างไร เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงแก้ไขแผนงาน การทำงาน และผลงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คือการทดลองขับรถในระยะใกล้เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการซ่อม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อลูกค้า หากนำรถจักรยานยนต์กลับไปใช้ตามปกติ 

ที่มา : หนังสือการงานอาชีพและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 

(แก้) ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา (งานที่ 5)


1. ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา จะช่วยให้เกิดความคิดในการหาทางออกได้ เมื่อพบปัญหาในเวลาหรือสถานการณ์การทำงานจริง โดยมีขั้นตอนดังนี้
(1) สังเกต นักเรียนควรฝึกตนเองให้เป็นคนช่างสังเกต สามารถศึกษาหรือรับรู้ข้อมูลมองเห็นและเข้าใจปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นได้
(2) วิเคราะห์ เมื่อทราบและเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ควรวิเคราะห์ว่าปัญหาที่มีมีมากน้อยเพียงใด ลำดับความสำคัญของปัญหา และวิเคราะห์สาเหตุของแต่ละปัญหาเพื่อสร้างทางเลือกให้กับทางออกของปัญหาได้อย่างเหมาะสม
(3) สร้างทางเลือก เมื่อวิเคราะห์เรียงลำดับปัญหาได้แล้ว ว่าควรแก้ปัญหาใดก่อน ปัญหาใดทีหลัง และเมื่อวิเคราะห์ทีละปัญหา หาสาเหตุของแต่ละปัญหาได้แล้ว ควรสร้างทางเลือกในการแก้ไขปัญหาซึ่งอาจจะมากมาย โดยการสร้างทางเลือกนั้น อาจจะมาจากการศึกษาค้นคว้าการทดลอง การตรวจสอบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการแก้ปัญหา
(4) ประเมินทางเลือก ทางเลือกต่างๆที่สร้างขึ้นมาจากการศึกษาค้นคว้าหรือการตรวจสอบต่างๆ ควรพิจารณาดูให้ละเอียดว่าทางเลือกใดที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาที่สุด และจะมีผลกระทบน้อยที่สุด สามารถรับมือกับปัญหาได้เร็วที่สุด และดีที่สุดกับทุกฝ่าย จึงประเมินทางเลือกนั้น โดยวางแผนและบันทึกกระบวนการปฏิบัติงาน ในรูปแบบรายงานและนำทางเลือกนั้นมาตรวจสอบความถูกต้อง

2. ถ้านักเรียนมีความขัดแย้งทางความคิดกับเพื่อนร่วมงาน จะมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไรจงอธิบาย  ว่าทักษะการแก้ปัญหามีความสำคัญในการทำงานอย่างไร
- ใช้ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ได้แก่
(1) สังเกต นักเรียนควรฝึกตนเองให้เป็นคนช่างสังเกต สามารถศึกษาหรือรับรู้ข้อมูลมองเห็นและเข้าใจปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นได้ เช่น การทะเลาะกับสมาชิกในกลุ่ม เราอาจสังเกตปัญหา ว่าสาเหตุมาจากการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ของแต่ละสมาชิกในกลุ่ม
(2) วิเคราะห์ เมื่อทราบและเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ควรวิเคราะห์ว่าปัญหาที่มีมีมากน้อยเพียงใด ลำดับความสำคัญของปัญหา และวิเคราะห์สาเหตุของแต่ละปัญหาเพื่อสร้างทางเลือกให้กับทางออกของปัญหาได้อย่างเหมาะสม เช่น การทะเลาะกันในกลุ่ม ว่าสมาชิก เกิดการโต้แย้งกันในการพูด หรือ ถึงขั้นรุนแรงในการใช้กำลังตัดสินปัญหา
(3) สร้างทางเลือก เมื่อวิเคราะห์เรียงลำดับปัญหาได้แล้ว ว่าควรแก้ปัญหาใดก่อน ปัญหาใดทีหลัง และเมื่อวิเคราะห์ทีละปัญหา หาสาเหตุของแต่ละปัญหาได้แล้ว ควรสร้างทางเลือกในการแก้ไขปัญหาซึ่งอาจจะมากมาย โดยการสร้างทางเลือกนั้น อาจจะมาจากการศึกษาค้นคว้าการทดลอง การตรวจสอบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการแก้ปัญหา เช่น การทะเลาะกันของสมาชิกในกลุ่ม เราควรเรียกทุกคนในกลุ่มมานั่งปรับความเข้าใจ และถามถึงปัญหาที่ขัดแย้งกัน
(4) ประเมินทางเลือก ทางเลือกต่างๆที่สร้างขึ้นมาจากการศึกษาค้นคว้าหรือการตรวจสอบต่างๆ ควรพิจารณาดูให้ละเอียดว่าทางเลือกใดที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาที่สุด และจะมีผลกระทบน้อยที่สุด สามารถรับมือกับปัญหาได้เร็วที่สุด และดีที่สุดกับทุกฝ่าย จึงประเมินทางเลือกนั้น โดยวางแผนและบันทึกกระบวนการปฏิบัติงาน ในรูปแบบรายงานและนำทางเลือกนั้นมาตรวจสอบความถูกต้อง เช่น การทะเลาะกันของสมาชิกในกลุ่ม เราควรวางแผนการแก้ปัญหา โดยการเรียกสมาชิกในกลุ่มมานั่งคุยกัน หรือปรึกษาอาจารย์ หากมีความรุนแรง โดยเราควรเลือกทางเลือกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากมีความรุนแรงน้อยก็เพียงแค่นั่งปรับความเข้าใจกัน เป็นต้น

ที่มา : หนังสือการงานอาชีพและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 

(แก้) ทักษะการแสวงหาความรู้ (งานที่ 6)


1. ทักษะการแสวงหาความรู้
ทักษะการแสวงหาความรู้ คือ การค้นคว้าหาความรู้ และสามารถสร้างความรู้ใหม่เพิ่มเติมได้อาจจะมาจากการคิด การศึกษา การทดลอง การค้นคว้า หรือปฏิบัติด้วยตนเอง แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อเกิดความรู้ใหม่ ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้เดิมที่มีอยู่ โดยการศึกษาค้นคว้านั้น ไม่จำกัดว่าจะมาจากแหล่งความรู้ใด อาจเป็นความรู้ในห้องเรียน ความรู้ตามป้ายสถานที่ต่างๆไปจนถึงสื่ออื่นๆ
(1) กำหนดปัญหาในการสืบค้นข้อมูลความรู้ คือการตั้งหัวข้อประเด็นในการศึกษาค้นคว้า กำหนดขอบเขตของหัวข้อหรือประเด็นที่ต้องการจะค้นคว้า พยายามอธิบายและแสดงความคิดเห็นต่อหัวข้อที่ต้องการจะสืบค้นข้อมูลความรู้
(2) การวางแผนในการสืบค้นข้อมูลความรู้ เมื่อคิดหาหัวข้อหรือประเด็นที่เราต้องการจะสืบค้นได้แล้ว ควรวางแผน กำหนดเป้าหมายว่าจะสืบค้นข้อมูลความรู้จากที่ใด อย่างไร ควรเริ่มต้นเมื่อใดเป็นต้น
(3) การดำเนินการสืบค้นข้อมูลความรู้ตามแผนที่กำหนดไว้ คือ การดำเนินการสืบค้นข้อมูลความรู้ในหัวข้อที่ต้องการ ตามแผนงานที่วางไว้
(4) การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสืบค้นความรู้ คือ การนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้ค้นหา หรือ ได้รับมา มาพิจารณาอย่างละเอียดถึงองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของข้อมูล รวมไปถึงการจำแนกจัดกลุ่ม และจัดลำดับข้อมูล
(5) การสรุปผลจากการสืบค้นความรู้และบันทึกจัดเก็บ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆได้ออกมาตามขอบเขตของหัวข้อที่กำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ควรบันทึกจัดเก็บข้อมูลที่รวบรวมมาได้ต่างๆในรูปแบบที่ง่ายต่อการค้นหา เช่น จัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือสื่อบันทึกข้อมูลชนิดต่างๆ จดบันทึกไว้ในสมุด ถ่ายเอกสารเก็บไว้ในแฟ้ม เป็นต้น

2. เพราะเหตุใด จึงต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าของอาชีพที่ตนเองทำอยู่เสมอ 

ศึกษาโดยการออกไป ศึกษางาน หรือการได้รับรู้ มองเห็นการทำงานของต้นแบบที่ดี เช่น การช่วยคนอื่นในการทำงาน เราก็จะได้เห็น และรับรู้ขั้นตอนการทำงานที่ดี  เพราะเราสามารถนำความรู้ และเทคนิคมาพัฒนางานของตนเอง และยังสามารถประยุกต์ใช้กับงานอื่นๆ เพื่อให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่พึงพอใจของตนเองและผู้ที่มอบหมายงาน  โดยขั้นตอนการทำงานที่ดี ได้แก่

 (1) กำหนดปัญหาในการสืบค้นข้อมูลความรู้ การตั้งหัวข้อประเด็นในการศึกษาค้นคว้า กำหนดขอบเขตของหัวข้อหรือประเด็นที่ต้องการจะค้นคว้า พยายามอธิบายและแสดงความคิดเห็นต่อหัวข้อที่ต้องการจะสืบค้นข้อมูลความรู้  เช่น การจะหาความรู้เกี่ยวกับการซ่อมรถจักรยาน เราก็กำหนดตำแหน่งหรือจุดที่จะศึกษาให้ชัดเจน
(2) การวางแผนในการสืบค้นข้อมูลความรู้ เมื่อคิดหาหัวข้อหรือประเด็นที่เราต้องการจะสืบค้นได้แล้ว ควรวางแผน กำหนดเป้าหมายว่าจะสืบค้นข้อมูลความรู้จากที่ใด อย่างไร ควรเริ่มต้นเมื่อใดเป็นต้น  เช่น การจะศึกษาการทำงานของกลไกรถจักรยานยนต์ เราจะศึกษาโดยการสอบถามคนที่มีความรู้หรือเราจะศึกษาจากเว็บไซต์
(3) การดำเนินการสืบค้นข้อมูลความรู้ตามแผนที่กำหนดไว้ คือ การดำเนินการสืบค้นข้อมูลความรู้ในหัวข้อที่ต้องการ ตามแผนงานที่วางไว้  เช่น การค้นหาการทำงานของกลไกรถจักรยานยนต์ จากเว็บไซต์อินเทอร์เน็ต
(4) การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสืบค้นความรู้ คือ การนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้ค้นหา หรือ ได้รับมา มาพิจารณาอย่างละเอียดถึงองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของข้อมูล รวมไปถึงการจำแนกจัดกลุ่ม และจัดลำดับข้อมูล เช่น การที่เราได้รับข้อมูลแล้ว นำมาวิเคราะห์ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง แล้วนำมาเรียบเรียงหรือจัดหมวดหมู่
(5) การสรุปผลจากการสืบค้นความรู้และบันทึกจัดเก็บ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆได้ออกมาตามขอบเขตของหัวข้อที่กำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ควรบันทึกจัดเก็บข้อมูลที่รวบรวมมาได้ต่างๆในรูปแบบที่ง่ายต่อการค้นหา เช่น จัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือสื่อบันทึกข้อมูลชนิดต่างๆ จดบันทึกไว้ในสมุด ถ่ายเอกสารเก็บไว้ในแฟ้ม เช่น การทำรายงานหรือจดบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของกลไกรถจักรยานยนต์เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลในการทำงาน

ที่มา : หนังสือการงานอาชีพและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 

(แก้) ทักษะการจัดการ (งานที่ 7)


1.ทักษะการจัดการ
  ทักษะการจัดการ หมายถึง ความสามารถของบุคคลหนึ่งที่สามารถจะจัดระบบงาน และระบบตนให้ทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนงานการจัดองค์กร การจัดหาคน การแบ่งหน้าที่ปฏิบัติงาน การควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กำหนด ไปจนถึงการติดตามและประเมินผล ทักษะการจัดการแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
(1) การจัดการระบบงาน  (การทำงานเดี่ยว) โดยสามารถจัดสรรเวลาการทำงานให้เป็นระบบ ปฏิบัติงานตามกฎระเบียบแบบแผน และขั้นตอนต่างๆ รวมไปถึงการเป็นผู้ที่มองทางไกล ฉลาด มีไหวพริบ รอบรู้ ทันคน ทันเหตุการณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความกระตือรือร้นในการแสวงหาข้อเท็จจริง มีความมุมานะที่จะปฏิบัติงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่อยู่เสมอ
(2) การจัดการระบบคน  (การทำงานกลุ่ม)  โดยมีความสามารถในการคัดเลือกคนเข้าทำงานแบ่งปัน จัดสรรคนให้เหมาะสมกับงาน มีความสามารถในการสร้างบรรยากาศในการทำงานสามารถชักจูงเพื่อนร่วมงานให้มีเป้าหมายเดียวกัน ร่วมมือ ร่วมใจกันทำงานจนสำเร็จ รวมถึงการเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ มีความขยัน อดทน ซื่อสัตย์และยุติธรรม เพื่อให้เพื่อนร่วมงานเกิดความพอใจ และเสมอภาค ยินดีที่จะทำงานด้วยความเต็มใจ


2.ทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ ทักษะใดสำคัญที่สุด  เพราะอะไร
- ทักษะกระบวนการทำงาน คือมีขั้นตอนในการทำงาน ได้แก่
 1) การวิเคราะห์งาน  การมองภาพรวมของงานที่ได้รับมอบหมาย ว่าเป้าหมายของงานคืออะไร ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานคืออะไร และจะทำอย่างไรให้งานสำเร็จ
เช่น การที่เราได้รับมอบหมายให้ทำรายงานส่ง เราจะต้องคิดว่า เราต้องทำรายงาน รูปแบบรายงานเป็นอย่างไร งานที่ได้รับหมอบหมายมา เกินความสามารถที่เราจะทำได้หรือไม่ ต้องการให้ผู้ปกครองช่วยหรือไม่
2) การวางแผนในการทำงาน การกำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน กำลังคนที่ใช้ในการทำงาน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน วัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน และวิธีการเพื่อให้งานสำเร็จ โดยประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน และค่าใช้จ่ายไปพร้อมกัน
เช่น การที่เราจะทำรายงานที่ได้รับมอบหมายมา เราจะทำเรื่องอะไร ทำจำนวนกี่หน้า รายละเอียดเป็นอย่างไร ควรหาข้อมูลจากไหน ข้อมูลที่ได้ เมื่อนำมาอ่านและทำความเข้าใจแล้ว มีความเป็นจริงน่าเชื่อถือหรือไม่
3) การลงมือทำงาน การทำงานตามแผนที่วางไว้ ด้วยความอดทนและความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ และแก้ปัญหาในการทำงาน ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ และมีประโยชน์ต่อตัวเองในการเกิดปัญหาในการทำงานครั้งต่อไป
เช่น เราลงมือทำรายงานเริ่มโดยการ สืบค้นข้อมูลที่เราจะทำรายงาน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลกจากอดีตจนถึงปัจจุบัน อาจจะหาข้อมูลจากหนังสือ หรือการหาจากอินเทอร์เน็ต แล้วนำมาเปรียบเทียบและวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีค่าความจริงสูง รวมทั้งจัดทำหารรวบรวมแล้วทำรายงานออกมาเป็นรูปเล่มหรือสไลด์โชว์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย  โดยการนำเสนอรูปแบบต่างๆนั้น ควรคำนึงถึงความถูกต้องประกอบกับความสวยงามด้วย เพื่อให้รายงานนั้นมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
4) การประเมินผลการทำงาน เป็นการตรวจสอบ ทดสอบหรือทดลองใช้ตั้งแต่การวางแผนการทำงานว่ารอบคอบ รัดกุม และสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่ รวมถึงประมวลผลการแก้ปัญหาในการทำงาน รวมทั้งประเมินผลงานที่สำเร็จแล้วว่ามีคุณภาพตามเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่ ใช้เวลา ค่าใช้จ่าย และแรงงานเหมาะสมหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงแผนงาน การทำงาน และผลงานให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เช่น จากการที่ได้ทำรายงาน แล้วนำเสนอแล้ว ควรถามความคิดเห็นของผู้ที่ได้ดูการนำเสนอหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เรานำความคิดเห็น คำแนะนำ มาปรับปรุงผลงาน เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด 

ที่มา : หนังสือการงานอาชีพและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2